NRF เล็งปิดดีลอีคอมเมิร์ซ หนุนรายได้โตก้าวกระโดด

22 มีนาคม 2564

'เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์' ลุยปิดดีลซื้อกิจการธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชีย-อาเซียน หวังดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง หลังโควิด-19 เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อของออนไลน์

โควิด-19 เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจนเกิดกระแสคนรักสุขภาพเป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งส่งผลบวกต่อ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ประกอบการผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัตที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ

'แดน ปฐมวาณิชย์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เล่าแผนธุรกิจให้ 'หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ' ฟังว่า ในปี 2564 บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์การสร้างยอดขายที่ควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมากจากพฤติกรรมของคนในยุคใหม่

สะท้อนผ่านการที่บริษัทร่วมทุนกับ Boosted Ecommerce, Inc (Boosted) เงินลงทุน 17 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในบริษัทร่วมทุนจัดตั้งใหม่ (NRF ถือ 55% และ Boosted ถือ 45%) โดยคาดจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกสู่ธุรกิจ e-commerce ผ่าน Amazon.com หลังรายได้จากการขายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ ของ Amazon ยังสร้างรายได้เข้ามาได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในวาระที่ประชุมผู้ถือหุ้นเดือนเม.ย.นี้ บริษัทจะขออนุมัติวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อศึกษาการ 'ซื้อกิจการ' (M&A) ในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียและอาเซียน โดยคาดจะมีการประกาศจับมือกับพันธมิตรในเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น , จีน และอยู่ระหว่างการคุยกับพันธมิตรอาเซียนซึ่งตอนนี้เริ่มคุยกับหลายรายเป็นพันธมิตรกลุ่มใหญ่ 4-5 รายแล้ว

ขณะที่สนใจลงทุนในธุรกิจกัญชง โดยเฉพาะในธุรกิจกลางน้ำ (โรงสกัด) หลังจากซื้อบริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด (GTH) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกัญชงตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาต่อยอดในการนำผลิตภัณฑ์จากกัญชงมาใช้ผลิตสินค้าต่างๆ คาดว่าจะเริ่มเห็นธุรกิจของ GTH เข้ามาผลักดันผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ปี 64 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นบริษัทขอดูความต้องการ (ดีมานด์) ตลาดก่อนหากมีมากบริษัทเตรียมงบลงทุนในส่วนของธุรกิจกัญชงภายใน 3 ปี (2564-2566) ประมาณ 200-300 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการจับมือกับพันธมิตรมหาลัยขอนแก่นและเอกชนในหารป้อนวัตถุดิบให้บริษัท ซึ่งหากบริษัทจะลงทุนโรงสกัดจะต้องเห็นวอลุ่มเข้ามาหลายพันตันก่อน

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทออกผลิตภัณฑ์กลิ่นกัญชงเป็นน้ำจิ้มศรีราชา ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชงคาดว่าจะเห็นในปีหน้า ในส่วนของบริษัทจะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับของบริโภค ทั้งซอส , กลุ่มสินค้า Plant-based food ส่วนที่ร่วมมือกับ GTH คาดว่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาดมกินกัญชงก่อน

'แดน' กล่าวว่า บริษัทเป้าหมายผลประกอบการปี 64 ตั้งเป้าเติบโต 20-30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่ยังไม่ร่วมธุรกิจกัญชงและการ M&A เนื่องจากกลุ่มสินค้าอื่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Plant-based food ที่คาดว่าสัดส่วนรายได้ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาที่ 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 8% ตอบรับกระแสความนิยมบริโภคทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย และรายได้จากการขายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ยังสร้างรายได้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทคาดรายได้ในปี 2566 แตะ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าที่บริษัทคาด ซึ่งเดิมมองว่าจะเป็น 2567 เพราะ ธุรกิจของบริษัทเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้มาก โดยเฉพาะกลุ่ม Plant-based food ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเข้าไปลงทุนในธุรกิจออนไลน์ และกำลังสนใจลงทุนในธุรกิจกัญชง ขณะที่ธุรกิจเครื่องประกอบอาหารและเครื่องปรุงรส (Ethnic food) อาทิ น้ำจิ้ม ซอสปรุงรส ซอสผัด ซอสพริก ซอสปรุงอาหาร น้ำแกง ซุปกระป๋องและซุปผง โดยบริษัทจะมีการออกสินค้าตัวใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

สำหรับการเสนอขายในค้าในประเทศไทยนั้น บริษัทเพิ่งเริ่มทำตลาดไปปี 2563 ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 3-5% โดยคาดว่าใน 3 ปี (2564-2566) สัดส่วนรายได้ขึ้นมาแตะ 15-20% จากการนำสินค้าของบริษัทที่ขายในต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น

โดยในแง่ของการรักษาสถานะทางเงินของบริษัท ยังคงเน้นการบริหารสภาพคล่อง การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย และการบริหารจัดการหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเข้าลงทุนใหม่ๆที่บริษัทอาจจะต้องมีการกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุนบ้าน แต่บริษัทมีนโยบายควบคุมอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 1 เท่า แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทยังไม่มีหนี้สินระยะยาวก็ตาม

ท้ายสุด บริษัทยังคงมีการศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งรูปแบบการร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการเพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีสินค้าหลากหลาย และนำสินค้าต่างๆ มาพัฒนาต่อยอดได้

Source: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/928523