NRF โชว์ผลงานปี 63 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ ทำรายได้กว่า 1,408.3 ล้านบาท
NRF โชว์ผลงานปี 63 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ ทำรายได้กว่า 1,408.3 ล้านบาท ย้ำจุดแข็งเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต ฟากบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น ขึ้น XD 30 เม.ย นี้
บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์’ หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ เผยผลงานไตรมาส 4/63 มีรายได้รวม 438 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท ส่งผลปี 63 มีรายได้รวม 1,408 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ทุบสถิติผลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ส่วนออเดอร์ใหม่ล้นถึงกลางปี 64 ฟากบอร์ด NRF ไฟเขียว ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 25 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล เตรียมขึ้น XD วันที่ 30 เมษายน 2564
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 438 ล้านบาท เติบโต 50.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 291 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท เติบโต 400% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 7 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,408 ล้านบาท เติบโต 26.7% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้จากการขายรวม 1,111 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท เติบโต 202.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 41 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) อยู่ที่ 303 ล้านบาท ทุบสถิติทำผลการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม NRF ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก หันมาใช้ชีวิตมาอยู่บ้าน ปรุงอาหารทานเอง หรือเลือกซื้ออาหารสุขภาพ เพื่อดูแลตนเองเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลทำให้ยอดคำสั่งซื้อจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2564 โดยเฉพาะกลุ่ม Ethnic Food ผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM / Private Label) และกลุ่ม Plant-Based Food ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ที่เติบโตกว่า 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ Functional Products ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในปี2563 ได้รับผลตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก หลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ในบรรจุภัณฑ์ V-Shapes ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสร้างยอดขายจากการติดตั้งเครื่องจักร V-shape ในปี 2563 จำนวน 19 ล้านบาท ร่วมกับ Fluid Energy Group LTD ซึ่งเป็นผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ปีผ่านมา ทำให้ NRF สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตอาหารในระดับสากล และถือเป็นบริษัทฯ ที่มีรูปแบบพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการเติบโตสูงในอนาคต (Platform for Future Food) โดยได้นำเงินที่ได้ทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายทั้ง Organic growth และ Inorganic growth เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในทุกไตรมาส โดยเริ่มลงทุนเพิ่มเติมอีก 25% ในดีลร่วมทุนโรงงาน Plant and Bean ที่ประเทศอังกฤษ คาดจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 2564
นอกจากนี้ บริษัทฯ เริ่มทยอยรับรู้รายได้จากบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด เพิ่มเข้ามาในเดือนธันวาคม 2563 หลังจากช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลืออีก 84.99% ของ ซิตี้ฟูด เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 170 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับหุ้นสามัญเดิมที่ถือหุ้น 15% ส่งผลให้ในปัจจุบัน NRF ถือหุ้นสามัญทั้งหมด 99.99% ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ทันทีหลังจากเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม Ethnic Food เพิ่มขึ้นกว่า 95% รองรับความต้องการที่สูงขึ้น และคาดว่าจะเป็นฐานการผลิตในประเทศที่สำคัญในอนาคต อีกทั้งจะช่วยผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นอีกกว่า 30%
พร้อมกันนี้ ในช่วงที่ผ่านมา NRF ได้จัดตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด เพื่อร่วมลงทุนกับบริษัท Boosted Ecommerce, Inc ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ ในการลงทุนธุรกิจ Branded e-commerce บน Amazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product โดยจะคัดเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และจะมีเกณฑ์ในการเลือกลงทุนที่ชัดเจนเพื่อให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่เติบโตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ NRF ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2563 ในรูปแบบหุ้นปันผล ในอัตรา 25 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นอัตราปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 30 เมษายน นี้ และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นใน วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 นี้
Source: https://www.bizfocusmagazine.com/news/item/9472-nrf-63-1-408-3.html