NRF วิ่ง 4% โบรกฯมองกำไร Q2 ฟื้นรับยอดขายโต แนะ “ซื้อ” เป้า 11.20 บ.
NRF บวก 4% โบรกฯคาดกำไรไตรมาส 2 จะเติบโต 40-45% แนะนำ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (18 มิ.ย.64) ราคาหุ้น บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ณ เวลา 16.12 น. อยู่ที่ระดับ 10.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 3.92% โดยทำจุดสูงสุดที่ 10.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 10.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 207.04 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ระบุในบทวิเคราะห์ (20 พ.ค. 2564) หลัง NRF รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2564 เป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดแล้ว โดยเบื้องต้นคาดประมาณการกำไรหลักในไตรมาส 2/2564 จะเติบโตที่ประมาณ 40-45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วและจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ด้วยสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เป็นจำนวนเงินที่ทรงตัว ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/2564 (เพิ่มขึ้นราว 60% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสที่แล้ว) ทำให้เกิดแรงหนุนจากการประหยัดขนาด
ส่วนยอดขายคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติกาลในไตรมาส 2/2564 จะมีแรงหนุนจากยอดขายธุรกิจอาหารพื้นเมืองที่จัดส่งล่าช้า (เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน), ยอดขายธุรกิจ e-commerce จากส่วนแบ่งของ Prime Labs ที่เข้ามาเต็มไตรมาส, ยอดขายธุรกิจสินค้า functional และยอดขายธุรกิจอาหารที่ทำจากพืช ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวในระดับสูงจากไตรมาสก่อน ที่ 32.5% ได้ในไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้น 170bps จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้คาดว่าจะมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกัญชาและกัญชงในไตรมาส 4/2564 มูลค่าส่วนเพิ่มจากสามดีลล่าสุดจะผลิดอกออกผลในปี 2565 ซึ่งในไตรมาส 2/2564 โดย NRF จะเสร็จสิ้นการลงทุนจำนวน 170 ล้านบาทในธุรกิจอาหารที่ทำจากพืชและธุรกิจ e-commerce ในประเทศสหรัฐฯและสหราชอาณาจักร (47 ล้านบาทใน Wicked Foods, 31 ล้านบาทใน Konsious Foods และ 92 ล้านบาทใน SOL Trading)
โดย NRF จะ ได้รับผลประโยชน์เนื่องจากเป็นผู้ผลิต OEM สำหรับแบรนด์สินค้าอาหารที่ทำจากพืชของ Wicked Foods และ Konsious ซึ่งรวมถึงอาหารพร้อม ทาน, พิซซ่า, ซอส, อาหารแช่งแข็งและอาหารทะเล SOL จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ e-commerce ของ NRF (มูลค่าเช้าซื้อกิจการถูก ด้วย EV/EBITDA 4 เท่า) ทั้งนี้คาดว่ายอดขายส่วนเพิ่มจากทั้ง 3 ดีล จะอยู่ที่ 1% ในปี 2564 และ 3 – 5% ในปี 2565 ซึ่งยังไม่ได้รวมเข้าไปในประมาณการของของฝ่ายวิจัยฯ
ทั้งนี้ NRF จะสร้างธุรกิจอาหารที่ทำจากพืชในระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มการผลิต, แบรนด์สินค้า และช่องทางการจัดจำหน่าย (โมเดิร์นเทรดและเน้นผ่าน e-commerce) โดยมีโรงงานผลิตอาหารที่ทำจากพืชกระจายอยู่ในประเทศสหราชอาณาจักร (36,000 ตัน/ปี ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 75,000 ตันในระยะยาว), ประเทศจีน (1,500 ตัน/ปี สร้างเสร็จในไตรมาส 1/2565) และประเทศไทย (6,000 ตัน/ปี สร้างเสร็จในไตรมาส 2/2565) หาก NRF สามารถเพิ่มส่วนแบ่งยอดขายอาหารที่ทำจากพืชให้ปรับตัวขึ้นจาก 7% มาเป็น 30% ตามเป้าหมาย ภายในปี 2566 จะเป็นอัพไซด์ต่อกำไรในระยะยาวต่อประมาณการของฝ่ายวิจัยฯ
อนึ่งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อบริหารจัดการสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง NRF ตั้งเป้าแผนการลงทุนที่ 3 พันล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 เพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขาย 3 พันล้าน บาทในปี 2566 (CAGR ที่ 29% ในระหว่างปี 2564-2566 และอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรของฝ่ายวิจัยฯอีก 10%) บนสมมติฐานว่าบริษัทมีเพียงหนี้สินทางการเงินอย่างเดียว ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะปรับตัว เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำที่ 0.05 เท่า ณ ปลายเดือนมี.ค. 2564 มาอยู่ที่ 1.0 เท่า (เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
อย่างไรก็ตาม NRF อาจร่วมลงทุนใหม่กับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ซึ่งพันธมิตรที่แข็งแกร่งจะไม่เพียงช่วยเหลือเรื่องสถานะการเงินเท่านั้น แต่รวมถึงมูลค่าส่วนเพิ่มต่อยอดธุรกิจของ NRF ในระยะยาว
นอกจากนี้ ปรับราคาเป้าหมายการลงทุนวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) เป็น ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 11.20 บาท (บน สมมติฐานเดิมค่า WACC ที่ 7.6% และ terminal growth ที่ 2.5%) ด้วยแนวโน้มการเติบโตในระดับสูง โดยมองว่า PER จะปรับตัวถูกลงจาก 55.4 เท่าในปี 2564 มาอยู่ที่ 48.3 เท่าในปี 2565 ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”